การเรียนการสอนในวันนี้
ออทิสติก สเปกตรัม คืออะไร
ออทิสติก สเปกตรัม เป็นโรคทางจิตเวชเด็ก
ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติของการพัฒนาระบบประสาท
ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากปกติ ทำให้เกิดความบกพร่องใน 2
ด้านหลัก คือ ด้านสังคมและการสื่อสาร และ ด้านพฤติกรรมและความสนใจ
เดิมแบ่งกลุ่มย่อยเป็น ออทิสติก
แอสเพอร์เกอร์ พีดีดีเอ็นโอเอส ในปัจจุบันเรียกรวมกันว่า “ออทิสติก
สเปกตรัม” (Autism Spectrum Disorder) หรือจะเรียกว่า “ออทิสติก”
ก็ถือว่าเป็นที่เข้าใจตรงกัน
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
แต่การบำบัดรักษาที่มีอยู่สามารถช่วยพัฒนาให้เด็กดีขึ้นได้มาก
แตกต่างจากผู้ที่ไม่ได้รับการบำบัดรักษาชัดเจน
แต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน
และความสามารถในการเรียนรู้ก็แตกต่างกันมาก ตั้งแต่รุนแรงมาก
สื่อความหมายไม่ได้เลย จนถึงอัจฉริยะ มีความสามารถโดดเด่นเฉพาะด้าน
เรียนจบปริญญา ในปัจจุบันพบประมาณ 6 คนต่อประชากร 1,000 คน
และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเกือบ 4 เท่า
มีความพยายามในการศึกษาหาสาเหตุของออทิสติก
แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ในอดีตเคยเชื่อว่า
เกิดจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ในปัจจุบันยืนยันได้ชัดเจนว่า
รูปแบบการเลี้ยงดูไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นออทิสติก
ออทิสติก สเปกตรัม มีอาการอย่างไร
ออทิสติก สเปกตรัม มีอาการหลักใน 2 ด้าน
คือ ความบกพร่องในด้านสังคมและการสื่อสาร และมีแบบแผนของพฤติกรรม
ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จำกัด ทำซ้ำๆ และคงรูปแบบเดิม
อาการมักแสดงให้เห็นตั้งแต่วัยเด็ก
เริ่มสังเกตความผิดปกติได้ชัดเจนในช่วงอายุขวบครึ่ง
ในเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการด้านภาษา พูดได้ไม่สมวัย มักสังเกตได้เร็วกว่า
ออทิสติก สเปกตรัม มีอาการหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละคน แสดงออกตั้งแต่วัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต อาการที่พบบ่อย ได้แก่
ด้านสังคมและการสื่อสาร
* ทักทายอย่างไม่เหมาะสม หรือไม่สนใจทักทาย
* สนทนาไม่ราบรื่น มักพูดแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ
* ขาดความสนใจร่วมกัน มีอารมณ์ร่วมกับคนรอบข้างน้อย
* ใช้ภาษาท่าทางไม่สัมพันธ์กับการพูดคุย
* สบตาและใช้ภาษาท่าทางไม่เหมาะสม
* ไม่เข้าใจหรือใช้ภาษาท่าทางเพื่อการสื่อสารไม่เป็น
* ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทาง
* แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับบริบททางสังคม
* เล่นตามจินตนาการไม่เป็น
* ผูกมิตรไม่เป็น ไม่รู้วิธีการสร้างสัมพันธภาพ
* ไม่ค่อยสนใจผู้คนรอบข้าง
ด้านแบบแผนพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรม
* พูดเป็นคำหรือวลีซ้ำๆ
* ใช้ภาษาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ
* เคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ เช่น โยกตัว กระโดด สะบัดมือ
* เคลื่อนไหวร่างกายแปลกๆ เป็นแบบแผนเฉพาะตัว
* ทานอาหารซ้ำๆ ใช้ของซ้ำๆ ใช้เส้นทางเดิมๆ
* ถามเรื่องเดิมซ้ำๆ มากเกิน
* กังวลมากเกินไปกับการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
* ยึดติดหรือหมกมุ่นกับวัตถุบางอย่างมากเกินปกติ
* สนใจในบางเรื่อง แบบหมกมุ่นมากเกินปกติ
* เย็นชาต่อความเจ็บปวด ความร้อน ความเย็น
* ตอบสนองต่อเสียงหรือผิวสัมผัสบางอย่างแบบรุนแรง
* ดมหรือสัมผัสกับวัตถุบางอย่างมากเกิน
* สนใจในแสงไฟ หรือวัตถุหมุนๆ มากเกิน
กุญแจสำคัญ ที่ทำให้สงสัยออทิสติก
ในเด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไป ถ้าพบว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ตั้งแต่ 2
อย่างขึ้นไป ควรมีการดำเนินการเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค
และให้ความช่วยเหลือทันที อาการดังกล่าว คือ
1) เล่นสมมติ เล่นจินตนาการไม่เป็น
2) ไม่สามารถชี้นิ้วบอกความต้องการได้
3) ไม่สนใจเข้ากลุ่มหรือเล่นกับเด็กคนอื่น
4) ไม่มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจร่วมกับคนอื่น
เมื่อเป็นออทิสติก สเปกตรัม ควรทำอย่างไร
เริ่มต้นด้วยการปรึกษากับจิตแพทย์เด็กและวัย
รุ่น เพื่อตรวจประเมิน วินิจฉัย และวางแผนการดูแลร่วมกัน
หาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งค้นคว้าต่างๆ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า
ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เนื่องจากความรู้ยังไม่นิ่ง
เมื่อมีข้อสงสัยให้นำไปปรึกษากับแพทย์ที่ดูแลเป็นระยะ
การบำบัดรักษาจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะทางหลายสาขา ดูแลร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
นักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย
นักวิชาการศึกษาพิเศษ ฯลฯ
การบำบัดรักษาที่จำเป็น
* การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification)
* กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy)
* แก้ไขการพูด (Speech Therapy)
* การฝึกทักษะทางสังคม (Social Skill Training)
* การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา (Special Education)
* การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ (Vocational Training)
* การใช้ยา (Pharmacotherapy)
การบำบัดรักษาเสริมหรือทางเลือก
* ศิลปะบำบัด (Art Therapy)
* ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
* การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal-assisted Therapy)
การบำบัดรักษาที่ยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ยืนยัน
* ออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy)
* การบำบัดเซลล์ (Cell Therapy)
* การฝังเข็ม (Acupuncture)
การบำบัดรักษาที่ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผล
* วิตามินบี ขนาดสูง (Megavitamin)
อย่ากลัวที่จะรู้ว่าลูกเป็นอะไร แต่กลัวที่ลูกจะเสียโอกาสในการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงทีมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น